โรคอ้วน (Obesity)


โรคอ้วน หรือน้ำหนักเกิน
ความจริงปัจจุบัน
ทั่วโลก จำนวนคน มากกว่า 10 ล้านคน ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน และอย่างน้อย 300 ล้านคน ที่เป็นโรคอ้วน
โรคอ้วนและน้ำหนักเกินนี้ มีความเสียงสำหรับการเป็นโรคเรื้อรัง รวมทั้ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดัน และโรคหัวใจ และที่สำคัญโอกาสที่จะเกิดเป็นมะเร็งสูงมาก
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ รับประทานอาหารที่มีพลังงานสูง ที่อุดมด้วยไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และขาดการออกกำลังกาย
ปัจจุบันคนเป็นโรคอ้วน เพิ่มมากขึ้น 3 เท่า หรือมากขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา โดยเฉพาะใน ประเทศอเมริกาเหนือ ประเทศอังกฤษ ประเทศแถบยุโรปตะวันออก ประเทศแถบตะวันออกกลาง เกาะแปซิฟิก ประเทศออสเตรเลีย และประเทศจีน โรคอ้วนจะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในประเทศที่พัฒนาแล้ว มากกว่าประเทศกำลังพัฒนา
ร่างกายของคนเรามีไขมันไว้เพื่อดึงมาใช้ในการให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ถ้ามีมากเกินไปคือโรคอ้วน ปกติผู้หญิงจะมีปริมาณไขมันประมาณ 25-30% ส่วนผู้ชายจะมี 18-23 %ถ้าหากผู้หญิงมีมากกว่า 30% ชายมีมากกว่า 25%จะถือว่าโรคอ้วน โรคอ้วนหมายถึงมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติ โรคอ้วนมิได้หมายถึงการมีน้ำหนักมากอย่างเดียว
โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่
อ้วนทั้งตัว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
โรคอ้วนลงพุง (abdominal obesity) ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย
โรคอ้วนลงพุ่งร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมากทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
การวัดปริมาณไขมันในร่างกาย
การวัดปริมาณไขมันในร่างกายไม่ใช่เรื่องง่าย โดยมากมักจะทำในห้องปฏิบัติการณ์เพื่อการวิจัย
การชั่งน้ำหนักในน้ำแล้วนำมาคำนวนหาปริมาณไขมันและปริมาณกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ แต่ก็ทำในห้องปฎิบัติการณ์เท่านั้น
BOD POD เป็นการตรวจโดยเครื่อง x-ray รูปไข่ เครื่องจะคำนวณหาปริมาณกล้ามเนื้อ ไขมันจากความเข้มของเนื้อเยื่อ
DEXA: Dual-energy X-ray absorptiometry (DEXA) เป็นการใช้ x-ray หาปริมาณไขมัน
นอกจากนั้นก็มีวิธีหาปริมาณไขมันได้อีกหลายอย่าง
ใช้ calipers วัดความหนาของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง อาจจะวัดที่ท้องแขนเป็นต้น
Bioelectric impedance analysis โดยการใช้ไฟฟ้าผ่านเข้าไปในร่างกายแล้วคำนวณออกมา
การใช้ตารางหนักและส่วนสูง
การคำนวณดัชนีมวลกาย
การวัดเส้นรอบเอว
การคำนวณดัชนีมวลกาย สามารถดูได้ 2 วิธี ดังนี้ คือ
1. ดูค่าดัชนีมวลกาย ( BMI ) ว่าได้ค่าเท่าใด
สูตร BMI = ( น้ำหนัก ) หารด้วย ( ส่วนสูงยกกำลัง 2 )
น้ำหนัก ให้ใช้หน่วยเป็น กิโลกรัม
ส่วนสูงให้ใช้ หน่วยเป็น เมตร เช่น 1.6 เมตร
ค่าที่ได้
18-23 คือ ปกติ
23-25 คือ น้ำหนักเกิน
25-30 คือ อ้วน
>30     คือ อ้วนอย่างรุนแรง มีความเสี่ยงต่อโรคที่กล่าวไว้ข้างต้น
2. ดูขนาดเอว หรืออัตราส่วนเอว ต่อสะโพก จะถือว่าอ้วนเมื่อ
ผู้ชาย เอว > 36 นิ้ว หรือ 90 เซนติเมตร หรือ อัตราส่วนเอวต่อสะโพก ratio > 1.0
ผู้หญิง เอว > 32 นิ้ว หรือ 80 เซนติเมตร หรือ อัตราส่วนเอวต่อสะโพก ratio > 0.8
โรคอ้วนจำเป็นต้องรักษาหรือไม่
ก่อนหน้านี้คนอ้วนไม่ถือเป็นโรคอ้วนแต่ปัจจุบันจัดเป็นโรคอ้วนเนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ โรคอ้วนเป็นโรคเกิดจากสาเหตุหลายๆอย่างทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ผู้ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว น้ำหนักจะขื้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน การรักษาโรคอ้วนได้เปลี่ยนไปจากอดีตที่นิยมให้ลดน้ำหนักเข้าสู่เกณฑ์ปกติอย่างรวดเร็วมาเป็นให้ลดน้ำหนักแบบค่อยๆเป็น โดยกำหนดเป้าหมายที่สามารถปฏิบัติได้ การลดน้ำหนักเพียงบางส่วนสามารถก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ การรักษาโรคอ้วนให้รักษาตลอดชีวิตเหมือนโรคเบาหวาน
ได้มีการศึกษาในประเทศไทยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีระดับ ไขมัน cholesterol ,triglyceride LDL ระดับน้ำตาล ละความดันโลหิตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ
ปัญหาของดัชนีมวลกายที่จะนำมาใช้อ้างอิงว่าอ้วนหรือไม่คงจะใช้ตัวเลขเดียวกันทั่วโลกไม่ได้ ฝรั่งจะมีโครงสร้างใหญ่กว่าชาวเอเชีย ดัชนีมวลกายของฝรั่งจึงจะค่อนข้างสูงกล่าวคือจะถือว่าน้ำหนักเกินเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กก/ตารางเมตร ส่วนชาวเอเชียเราจะถือว่าน้ำหนักเกินคือ ดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กิโลกรัม ต่อตารางเมตร เนื่องจากเมื่อดัชนีมวลกายเกินค่าดังกล่าวจะมีอุบัติการของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง 
ดังนั้น จะเห็นว่าคนอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดโรคมากมาย และผลดีของการลดน้ำหนักสามารถลดอัตราการเกิดโรคได้หลายชนิด และลด อัตราการตายได้ สมควรถึงเวลาที่จะหยุดความอ้วน

Agel SLM – ลดความอยากอาหาร และยับยั้งขบวนการสร้างไขมัน
Agel SLM หรือ Agel FIT เป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นอันดับต้นของผลิตภัณฑ์เอเจล วัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนัก และกำจัดไขมันที่มีอยู่เดิม
ปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเป็นปัญหาที่สำคัญของคนส่วนใหญ่ของโลก และการที่มีสารอาหารที่สามารถละลายไขมันส่วนเกินได้ โดยไม่ต้องออกกำลังกาย นั้นเป็นอะไรที่มหัสจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ธรรมดาวิธีการควบคุมน้ำหนักของคนเรา เกียวข้องกับสมการง่าย ๆ คือ ต้องพยายามเผาผลาญไขมั้นออกให้มากกว่าที่ได้รับเข้ามาเพิ่มใหม่ในแต่ละวัน หรือในอีกคำพูดหนึ่งก็คือ ทานน้อย แต่ออกกำลังกายหรือขยับตัวให้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ทุกคนก็มีข้อแม้อยู่ตลอดเวลา ในการรับประทานอาหารในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่สามารถออกกำลังกายตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ในแต่ละสัปดาห์ได้เลย ดังนั้นความพยายามที่ต้องการลดน้ำหนักจึงเป็นปัญหาที่เรื้อรัง และไม่สามารถทำได้ในที่สุด
ดังนั้น จะพูดอีกแง่หนึ่งก็คือ Agel SLM หรือ Agel Fit จึงเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาที่ควบคุมไม่ได้นี้ให้  โดยไม่มีผลกระทบที่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย สาระสำคัญใน Agel Fit หรือ Agel SLM ได้มีการศึกษาวิจัยกันมานาน และจดสิทธิบัตรมานานแล้ว คือ HCA (hydroxycitric acid) เรียกกันว่า Super CitriMax™ ซึ่งได้มาจากผลไม้ สัมแขก หรือ Garcinia combogia และในทางคลินิก ได้ใช้ในการลดน้ำหนักของร่างกายโดยการลดความอยากอยากอาหารและยับยั้งขบวนการสังเคราะห์ไขมัน โดยไม่ผ่านการกระตุ้นของระบบประสาท ผลิตภัณฑ์หลายชนิดใช้ HCA ในการลดน้ำหนักแต่ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ประกอบด้วย Super CitriMax™  สารนี้ มีคุณสมบัติทำให้ HCA นั้นจับกับแคลเซียมและโปตัสเซียมได้ ซึ่งทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการละลาย เป็นการเพิ่ม bioavailability ของ HCA และเมื่อนำมาใส่อยู่ในรูปแบบของ Gel Suspension Technology แล้ว ทำให้เป้าหมายในการทำงานควบคุมน้ำหนักก็มีประสิทธิภาพได้ผลเป็นอย่างดียิ่ง
**คุณสมบัติของ Agel SLIM
Agel SLM ส่วนประกอบสำคัญ คือ Garcinia Cambogia (ส้มแขก) และ Hoodia Gordonii
เมื่อ คุณมีความตั้งใจ ให้มีรูปร่างที่ดี SLM ช่วยเร่งให้เห็นผลเร็วมากกว่าการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารถึง 3 เท่า โดยสูตรพฤกษเคมีจากธรรมชาติ 100% 2 ชนิด